ในยุคที่ความงาม และการดูแลผิวพรรณได้รับความนิยมอย่างสูง การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวของเราจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการเลือกครีมบำรุงผิว หรือที่เรียกว่า moisturizer (มอยส์เจอไรเซอร์) และ moisturizing barrier (มอยส์เจอไรซิ่ง แบร์ริเออร์) ซึ่งทั้งสองคำนี้มีความหมาย และการใช้งานที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญ ซึ่งหากไม่เข้าใจอาจทำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผิดประเภท ThaiSeoLink ทำให้การดูแลผิวไม่บรรลุผลตามที่ต้องการ
Moisturizer (มอยส์เจอไรเซอร์) ครีมบำรุงผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
Moisturizer หมายถึง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีหน้าที่หลักในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งมักจะใช้ในช่วงที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นจากการเผชิญกับอากาศแห้ง หรือหลังจากทำความสะอาดผิว เช่น การล้างหน้าหรืออาบน้ำ ที่ทำให้ผิวขาดน้ำ และเกิดการระเหยของความชื้นจากผิว Moisturizer ช่วยเติมน้ำเข้าสู่ผิว ซึ่งจะช่วยให้ผิวดูสดชื่น และมีความนุ่มนวลขึ้น
ส่วนประกอบหลัก ของมอยส์เจอไรเซอร์มีดังนี้
- Humectants : เช่น กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือกลีเซอรีน (Glycerin) ที่ช่วยดูดซับความชื้นจากอากาศและนำมาเติมเต็มให้ผิว
- Emollients : เช่น น้ำมันธรรมชาติ (เช่น น้ำมันอาร์แกน, น้ำมันโจโจบา) ที่ทำหน้าที่ทำให้ผิวอ่อนนุ่มและเรียบเนียน
- Occlusives : เช่น วาสลิน (Vaseline) หรือซิลิโคน (Silicone) ที่ช่วยล็อกความชื้นในผิวไม่ให้ระเหยออกไป
การใช้มอยส์เจอไรเซอร์นั้นเป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้น และมีความสมดุลในระดับน้ำผิวหนัง แต่ไม่เพียงพอในกรณีที่ต้องการการป้องกันผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้นในระยะยาว
Moisturizing Barrier (มอยส์เจอไรซิ่ง แบร์ริเออร์) การสร้างเกราะป้องกันผิว
Moisturizing barrier เป็นแนวคิดที่ครอบคลุมมากขึ้น เกี่ยวข้องกับการสร้างเกราะป้องกันผิวที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิวระยะยาว โดยการรักษาสมดุลของน้ำและการป้องกันการสูญเสียน้ำจากผิวหนัง ตัวผลิตภัณฑ์ที่ช่วยสร้าง “barrier” จะมีส่วนประกอบที่ช่วยเสริมการทำงานของชั้นผิว เช่น การฟื้นฟูหรือสร้างชั้นปกป้องที่แข็งแรงเพื่อไม่ให้ความชื้นจากผิวสูญหาย
ส่วนประกอบหลัก ของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยสร้าง moisturizing barrier มักจะประกอบไปด้วย
- Ceramides : สารที่พบในชั้นผิวที่ทำหน้าที่เสริมสร้างและรักษาโครงสร้างของผิวให้แข็งแรง ช่วยป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้น
- Fatty Acids : กรดไขมันที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
- Cholesterol : ช่วยสร้างโครงสร้างของเซลล์ผิวให้แข็งแรง ป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้น
- Lipids : สารไขมันที่มีหน้าที่ในการป้องกันการระเหยของน้ำจากผิว
ต่างจากมอยส์เจอไรเซอร์ทั่วไปที่มีการเติมน้ำให้กับผิว moisturizing barrier จะช่วยเสริมสร้างการป้องกันและคงความชุ่มชื้นในผิวอย่างยาวนาน โดยการปรับสมดุลให้ชั้นผิวสามารถกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น และป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น
ความแตกต่างระหว่าง Moisturizer กับ Moisturizing Barrier
- ฟังก์ชันการใช้งาน :
- Moisturizer ทำหน้าที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวทันทีหลังการใช้งาน
- Moisturizing Barrier จะสร้างเกราะป้องกันเพื่อไม่ให้ความชุ่มชื้นหลุดออกจากผิว และช่วยรักษาความสมดุลของผิวในระยะยาว
- ส่วนประกอบ :
- Moisturizer มักมีสารที่ช่วยเติมน้ำให้กับผิว เช่น กรดไฮยาลูโรนิก และกลีเซอรีน
- Moisturizing Barrier มักมีสารที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของชั้นผิว เช่น เซราไมด์, กรดไขมัน, และคอลเลสเตอรอล
- ประโยชน์ในระยะยาว :
- Moisturizer เหมาะสำหรับการให้ความชุ่มชื้นที่ต้องเติมซ้ำ ๆ ในระหว่างวัน
- Moisturizing Barrier เหมาะสำหรับการป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นจากผิวในระยะยาว และรักษาสมดุลความชุ่มชื้น
moisturizer กับ moisturizing barrier ผลิตภัณฑ์รักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว
- แม้ว่าผลิตภัณฑ์ทั้งสองจะมีความคล้ายคลึงกันในการบำรุง และรักษาความชุ่มชื้น แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ moisturizer มุ่งเน้นที่การเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวในขณะที่ moisturizing barrier จะเน้นที่การสร้างเกราะป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นจากผิว เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นและแข็งแรงในระยะยาว
- หากคุณต้องการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นและมีสุขภาพดีในระยะยาว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมสร้าง moisturizing barrier อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะมันไม่เพียงแต่ช่วยเติมน้ำให้กับผิว แต่ยังช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำจากผิวอย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณแหล่งที่มาข้อมูล : BIODERMA