ริชาร์ด มาสเตอร์ส ซีอีโอพรีเมียร์ลีก ออกโรงตอบโต้ ฟีฟ่า อย่างหนัก หลังเผชิญแรงกดดันให้ลดจำนวนสโมสรในพรีเมียร์ลีกจาก 20 เหลือ 18 ทีม เพื่อบรรเทาปัญหาปฏิทินแข่งที่แน่นขึ้นเรื่อย ๆ จากการขยายรายการของฟีฟ่าและยูฟ่า

ยืนยันพรีเมียร์ลีกจะมี 20 ทีมต่อไป

มาสเตอร์สให้สัมภาษณ์กับ BBC Sport ย้ำชัดว่า “พรีเมียร์ลีกจะไม่ลดเหลือ 18 ทีม” พร้อมวิจารณ์ฟีฟ่าว่าไม่เคยเปิดพื้นที่ให้ “การหารืออย่างจริงจัง” กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก่อนจะประกาศขยาย ฟุตบอลโลกเป็น 48 ทีม และ ฟุตบอลสโมสรโลกเป็น 32 ทีม ซึ่งกระทบโดยตรงกับปฏิทินของลีกในประเทศ

“ผมสนับสนุนการแข่งขันที่น่าตื่นเต้น แต่ไม่ใช่ในราคาที่ต้องแลกกับสุขภาพของนักเตะ หรือคุณภาพของฟุตบอลในประเทศ” – มาสเตอร์ส กล่าว

โปรแกรมเตะถี่ – นักเตะถูกบีบใช้เกินขีดจำกัด

ฤดูกาลใหม่ของพรีเมียร์ลีกจะเริ่มในวันที่ 15 สิงหาคม 2568 เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจบศึก ฟุตบอลสโมสรโลก และอีกไม่ถึงปีคือ ฟุตบอลโลก 2026 ที่จะจัดขึ้นในสหรัฐอเมริกา – แคนาดา – เม็กซิโก ช่วงเดือนกรกฎาคม ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าระบบแข่งขันจะส่งผลร้ายต่อฟอร์มทีมในลีกและ สุขภาพนักเตะ

มาสเตอร์สระบุว่า พรีเมียร์ลีกและหลายลีกในยุโรปเริ่มต้อง ออกแบบปฏิทินใหม่ทั้งหมด เพียงเพื่อรองรับการแข่งขันที่ฟีฟ่าขยายโดยไม่ถามไถ่เสียงของลีกท้องถิ่นเลย

“เรากำลังขอให้นักเตะลงสนามมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ร่างกายเขาไม่ควรต้องรับภาระขนาดนั้น” – มาสเตอร์ส กล่าวเพิ่มเติม

ยูฟ้ายังพอเจรจาได้ แต่ฟีฟ่า “ไม่เคยเปิดโต๊ะ”

แม้มาสเตอร์สยอมรับว่า ยูฟ่าเองก็เป็นผู้มีส่วนร่วมทำให้ตารางแข่งขันแน่นขึ้น จากการขยายรายการอย่าง UCL, UEL และ UECL แต่ก็ยังมีพื้นที่เจรจาร่วมกับลีกในประเทศมากกว่าฟีฟ่า

“หน้าที่ของผมไม่ใช่ตัดสินว่าฟุตบอลสโมสรโลกจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ผมมีหน้าที่ปกป้องสิ่งที่กระทบต่อพรีเมียร์ลีก และฟุตบอลในประเทศคือสิ่งที่เราต้องรักษาเอาไว้”

วิเคราะห์: ฟีฟ่ากับลีกท้องถิ่น – ศึกแย่ง “วันแข่ง”

การขยายการแข่งขันของฟีฟ่าและยูฟ่ากำลังผลักภาระไปยังสโมสรและนักเตะในทุกมุมโลก โดยเฉพาะลีกในประเทศที่ต้อง “เสียพื้นที่แข่งขัน” เพื่อป้อนให้กับฟุตบอลโลก, ฟุตบอลสโมสรโลก และรายการยุโรปที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

พรีเมียร์ลีกในฐานะ ลีกที่มูลค่าสูงที่สุดในโลก จึงกลายเป็นเวทีแรกที่ซีอีโอออกมาท้าทายฟีฟ่าอย่างเป็นทางการ และหากไม่มีเวทีหารือระดับโลก การปะทะระหว่างผลประโยชน์ระหว่าง “ฟุตบอลชาติ” และ “ฟุตบอลสโมสร” จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอีกแน่นอน