5 เหตุผลที่คนทั่วไปจนถึงสาย Tech หันมาสนใจ Gemini มากขึ้นพร้อมเปรียบเทียบ CHATGPT

22 พ.ค. 2025
176
5 เหตุผลที่คนทั่วไปจนถึงสาย Tech หันมาสนใจ Gemini มากขึ้นพร้อมเปรียบเทียบ CHATGPT

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราได้เห็นชื่อของ “Gemini” โผล่ขึ้นมาในบทสนทนาเกี่ยวกับ AI บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่ในหมู่นักเทคโนโลยีหรือนักพัฒนาเท่านั้น แต่แม้กระทั่งคนทั่วไปที่ไม่เคยใช้ AI มาก่อนก็เริ่มพูดถึงชื่อนี้อย่างสนใจ จุดที่น่าสนใจก็คือ Gemini ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผลิตภัณฑ์จาก Google แต่กลายเป็นตัวเปลี่ยนเกมที่ทำให้ผู้คนหลากหลายกลุ่ม เริ่มเปิดใจและลองใช้งาน AI อย่างจริงจัง

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจ 5 เหตุผลหลักที่ทำให้ ทั้งคนทั่วไปและสาย Tech ต่างก็หันมาให้ความสนใจกับ Gemini มากขึ้น พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่า เทคโนโลยีนี้ไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิด

5 เหตุผลที่คนทั่วไปจนถึงสาย Tech หันมาสนใจ Gemini มากขึ้น

5 เหตุผลที่คนทั่วไปจนถึงสาย Tech หันมาสนใจ Gemini มากขึ้น

1. เข้าถึงง่าย ใช้งานได้แม้ไม่เคยใช้ AI มาก่อน

Gemini ถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งานทุกระดับ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้าน AI หรือการเขียนโปรแกรมก็สามารถใช้งานได้ทันทีผ่านมือถือ Android, บราวเซอร์ หรือบริการที่เราคุ้นเคยอย่าง Gmail, Google Docs, Google Search และ YouTube ไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่มเติม ไม่ต้องเรียนรู้คำสั่งซับซ้อน ทุกอย่างเป็นภาษาแบบที่เราคุยกันในชีวิตประจำวัน

นี่คือเหตุผลที่คนทั่วไปซึ่งไม่ใช่สาย Tech ก็สามารถเข้าถึง Gemini ได้อย่างสบาย ๆ

2. ทำได้มากกว่าแค่ตอบคำถาม

ในขณะที่หลายคนยังคิดว่า AI คือแค่บอตแชตคุยเล่นได้ Gemini ก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นไปแล้ว เพราะมันสามารถทำงานในระดับที่ “ช่วยคุณทำงานจริง” ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น

  • สร้างภาพจากคำบรรยาย

  • เขียนโค้ดโปรแกรม

  • วิเคราะห์ไฟล์ Excel หรือสรุปเอกสาร PDF

  • เขียนอีเมลหรือพรีเซนเทชันให้อัตโนมัติ

สิ่งเหล่านี้ทำให้ทั้งผู้ใช้งานทั่วไปและมืออาชีพเริ่มมองว่า Gemini คือผู้ช่วยที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ของเล่นเทคโนโลยีอีกต่อไป

3. อ่านไฟล์ยาว ๆ ได้แบบไม่ต้องหั่น

หนึ่งในความสามารถที่สาย Tech ชื่นชอบมากคือ Gemini 1.5 รองรับ context ได้ยาวถึง 1 ล้าน tokens ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถให้มันอ่านไฟล์ PDF ทั้งเล่ม, วิเคราะห์รายงานหนา ๆ หรืออ่านโค้ดยาว ๆ ได้แบบต่อเนื่อง โดยไม่ต้องค่อย ๆ ตัดแบ่งเป็นชิ้น ๆ

สิ่งนี้ช่วยประหยัดเวลา และยังทำให้ AI เข้าใจบริบทได้ครบถ้วนกว่าที่เคยมีมาในโมเดลก่อนหน้า

4. ใช้ภาษาไทยได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ

Google พัฒนา Gemini ให้รองรับภาษาไทยได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในแง่ของการแปลภาษา, การเข้าใจบริบท, การจัดรูปประโยค และแม้แต่การตอบคำถามที่ต้องใช้ความเข้าใจเชิงวัฒนธรรม

นั่นทำให้ผู้ใช้ชาวไทยรู้สึกว่า Gemini “เข้าถึงง่ายกว่าเดิม” และใช้งานในชีวิตประจำวันได้สะดวก ไม่ต้องเปลี่ยนภาษาหรือกังวลว่าคำตอบจะผิดเพี้ยน

5. เป็นของ Google เชื่อถือได้และผสานกับบริการอื่นได้ดี

ความเชื่อมั่นในแบรนด์ Google เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายคนกล้าลองใช้ Gemini เพราะเราคุ้นเคยกับบริการของ Google อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Gmail, Google Calendar, Google Maps หรือ Google Drive

เมื่อ Gemini สามารถทำงานร่วมกับบริการเหล่านี้ได้อย่างลื่นไหล เช่น เขียนอีเมลให้ทันทีจากข้อมูลใน Docs หรือสรุปการประชุมจาก Google Meet ก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกว่า Gemini ไม่ใช่แค่ AI อื่น ๆ แต่เป็น “ผู้ช่วย” ที่เข้ามาเติมเต็มสิ่งที่เราขาดได้จริง

แล้ว Chatgpt อยู่ตรงไหน? อะไรคือความแตกต่าง?

5 เหตุผลที่คนทั่วไปจนถึงสาย Tech หันมาสนใจ Gemini มากขึ้น

และ Ai ที่เราไม่พูดถึงไม่ได้เลย นั่นก็คือ CHATGPT ทำให้เกิดคำถามว่าถ้า User หันมาสนใจ Gemini มากยิ่งขึ้น แล้ว Chatgpt อยู่ตรงไหน? อะไรคือความแตกต่าง? แน่นอนว่าคงคำตอบคงมีหลายแบบและปัจเจกมากๆ เพราะฉะนั้น Thaiseolink เลยขอสรุปความแตกต่างระหว่างทั้งสองค่ายไว้แบบนี้ค่ะ

  • ChatGPT เหมาะกับคนที่ต้องการ AI ที่ “เข้าใจภาษา” ดีเยี่ยม, สร้างภาพสวย, และมีความยืดหยุ่นสูง

  • Gemini เหมาะกับคนที่ใช้งาน Google อยู่แล้ว ต้องการ AI ที่ทำงานร่วมกับ Docs, Gmail และเข้าใจข้อมูลหลายรูปแบบพร้อมกัน

ความแตกต่างระหว่าง ChatGPT และ Gemini

1. ผู้สร้างและความเชื่อมั่น

  • ChatGPT ถูกพัฒนาโดย OpenAI บริษัทที่มี Microsoft สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

  • Gemini เป็น AI จาก Google ที่รวมทีม DeepMind กับทีม Search เดิมเข้าด้วยกัน จึงมีฐานผู้ใช้มหาศาลที่เชื่อมั่นในบริการของ Google อยู่แล้ว


2. ใช้งานผ่านช่องทางไหน

  • ChatGPT เข้าผ่านเว็บหรือแอปของ OpenAI โดยตรง รองรับทั้งฟรีและเสียเงิน

  • Gemini ใช้งานผ่านเว็บ Gemini.google.com หรือแอป Google บนมือถือ Android และใน Google Workspace ได้เลย


3. ความสามารถหลัก

  • ChatGPT เด่นเรื่องการเขียนและการเข้าใจภาษาธรรมชาติ เช่น เขียนบทความ แต่งนิยาย เขียนโค้ด

  • Gemini เด่นเรื่อง “เข้าใจหลายสิ่งพร้อมกัน” เช่น วิเคราะห์ไฟล์เอกสาร รูปภาพ เสียง วิดีโอได้ในครั้งเดียว (multimodal AI)


4. จุดแข็งที่ต่างกัน

  • ChatGPT มีระบบ GPTs ที่เราสามารถ “ฝึก AI ส่วนตัว” ได้ เช่น สร้างผู้ช่วยเฉพาะทาง

  • Gemini ทำงานร่วมกับ Gmail, Docs, Maps, Calendar ได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม


5. ภาษาไทยล่ะ ใครเก่งกว่า?

  • ChatGPT รองรับภาษาไทยได้ดี แต่ยังมีบางคำที่ฟังดูแปลกเล็กน้อยในบริบทยาก ๆ

  • Gemini เริ่มเข้าใจภาษาไทยดีขึ้นอย่างมากในเวอร์ชันล่าสุด และมีแนวโน้มว่าจะดียิ่งขึ้น เพราะ Google ลงทุนกับตลาดเอเชียมากขึ้นเรื่อย ๆ

สรุปทิ้งท้าย

Gemini ไม่ได้เป็นเพียง AI ตัวใหม่จาก Google เท่านั้น แต่กำลังกลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่เข้าถึงง่ายและใช้งานได้หลากหลาย ทั้งสำหรับคนทั่วไปที่อยากให้ AI ช่วยในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงสาย Tech ที่ต้องการเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลระดับลึก ความสามารถในการเข้าใจภาพ วิดีโอ เสียง และเอกสารยาว ๆ ทำให้ Gemini เป็นมากกว่าแค่บอตแชต – มันคือ AI ที่พร้อมทำงานเคียงข้างคุณ

และเมื่อพูดถึงความนิยมของ Gemini หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับ ChatGPT ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้นำด้าน AI

หากจะพูดง่าย ๆ:

  • ChatGPT เหมาะกับคนที่ต้องการความ “ยืดหยุ่นและแม่นยำด้านภาษา” เช่น การเขียนบทความ โค้ด หรือการฝึก AI ส่วนตัว (GPTs)

  • ขณะที่ Gemini เด่นเรื่อง “ความเป็นผู้ช่วยในชีวิตจริง” โดยเฉพาะคนที่ใช้บริการของ Google อยู่แล้ว เช่น Gmail, Docs, Calendar

Gemini จึงเริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่เพราะจะมาแทนที่ ChatGPT แต่เพราะมันเติมเต็มในสิ่งที่คนจำนวนมากต้องการ — AI ที่ไม่ต้องเรียนรู้วิธีใช้มากมาย แต่ทำงานแทนเราได้จริง

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ใช้ AI ทำงานแบบไหน หรือเคยใช้ AI มาก่อนหรือไม่… ปีนี้คือเวลาที่เหมาะจะลองทำความรู้จักกับ Gemini เพราะคุณอาจเจอ “ผู้ช่วยคนใหม่” ที่คุณตามหามานานก็ได้