เจาะลึกเนื้อเพลง Viva La Vida เวอร์ชัน Pachinko OST ที่พูดถึงความเจ็บปวดในอำนาจผ่านน้ำเสียงของ Rosé

เจาะลึกเนื้อเพลง Viva La Vida เวอร์ชัน Pachinko OST ที่พูดถึงความเจ็บปวดในอำนาจผ่านน้ำเสียงของ Rosé

“Viva La Vida” คือหนึ่งในเพลงที่ทำให้ Coldplay ก้าวสู่ความเป็นวงระดับโลก เพลงนี้เปิดตัวในปี 2008 พร้อมเสียงเครื่องสายอันทรงพลัง และเนื้อเพลงที่พูดถึงการล่มสลายของอำนาจจากมุมมองของอดีตกษัตริย์ผู้เคยยิ่งใหญ่

Chris Martin (นักร้องนำของ Coldplay) บอกว่าได้รับแรงบันดาลใจจาก ภาพวาดของ Frida Kahlo ที่ชื่อ “Viva La Vida” เพลงนี้พูดถึง การสูญเสีย ความไม่จีรังของอำนาจ ความสำนึกผิด และการยอมรับอดีต มีคนตีความว่าเพลงนี้อาจสื่อถึง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 หรือ Napoleon หรือแม้แต่ พระเยซู (บางช่วงมีอ้างถึงศาสนา)

แม้เวลาจะผ่านมานานนับสิบปี เพลงนี้ยังถูกหยิบมาร้องใหม่หลายครั้ง หนึ่งในเวอร์ชันที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดคือเสียงของ Rosé สมาชิกวง BLACKPINK ที่นำเพลงนี้มาร้องประกอบซีรีส์ Pachinko ของ Apple TV+ การตีความใหม่ของ Rosé เติมเต็มความเดียวดายและความสิ้นหวังในเพลงอย่างลึกซึ้งราวกับเป็นเรื่องส่วนตัว

ซีรีส์ Pachinko เล่าถึงประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดของครอบครัวชาวเกาหลีที่ต้องเผชิญสงคราม การพลัดพราก และการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดในญี่ปุ่น เพลง Viva La Vida ที่ใช้ใน OST ตอนหนึ่งนั้นขับร้องโดย Rosé ด้วยเสียงเปลือยเปล่า เรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์

จากเดิมที่เพลงนี้เป็นการเล่าเรื่องของ “ชายผู้เคยครองโลก” พอถูกถ่ายทอดด้วยเสียงผู้หญิงที่เปราะบาง มันกลับกลายเป็นภาพของ “ผู้หญิงที่เคยถูกยกย่อง แล้วถูกลืม”—เช่นเดียวกับตัวละครหญิงหลายคนใน Pachinko

เสียงของ Rosé ทำให้เนื้อเพลงไม่ใช่แค่เรื่องของอำนาจ แต่กลายเป็นเรื่องของความเงียบ ความโดดเดี่ยว และศักดิ์ศรีของมนุษย์

แปลและตีความเพลง Viva La Vida

I used to roll the dice
ฉันเคยเป็นคนเสี่ยงทายโชคชะตา

Feel the fear in my enemies’ eyes
รับรู้ถึงความกลัวในสายตาของศัตรู

Listen as the crowd would sing
ฟังเสียงฝูงชนร้องเชียร์ฉัน

Now the old king is dead, long live the king
ตอนนี้กษัตริย์องค์เก่าตายแล้ว จงสถาปนากษัตริย์องค์ใหม่เถิด

ภาพของคนที่เคยมีชื่อเสียง เคยได้รับการสรรเสริญ ตอนนี้กลายเป็นอดีต ถูกแทนที่แล้ว

One minute I held the key
หนึ่งนาทีก่อน ฉันยังถือกุญแจแห่งอำนาจ

Next the walls were closed on me
ถัดมา ผนังก็พังทับฉัน

การเปรียบเปรยว่า ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วพริบตา อำนาจ ความสำเร็จ ไม่จีรัง

And I discovered that my castles stand
 และฉันได้ค้นพบว่า ปราสาทของฉันทั้งหลายที่เคยยิ่งใหญ่

Upon pillars of salt and pillars of sand
 กลับตั้งอยู่บนเสาหลักที่ทำจากเกลือและทราย

 “Castles” = สื่อถึงสิ่งที่ตัวเขาสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ บารมี ความสำเร็จ หรือแม้แต่ชื่อเสียงของเขาในอดีต
“Pillars of salt” และ “pillars of sand” = สื่อถึงรากฐานที่อ่อนแอ เปราะบาง และไม่มั่นคง มันเหมือนคนที่เคยประสบความสำเร็จสูงสุด แล้ววันหนึ่งรู้ว่า สิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นมาตลอด ทั้งชื่อเสียง ความรัก หรือแม้แต่ศรัทธา—ทั้งหมดนั้นอาจว่างเปล่าและเปราะบางยิ่งกว่าที่คิด

It was the wicked and wild wind
มันคือสายลมที่บ้าคลั่งและชั่วร้าย

Blew down the doors to let me in
มันพัดประตูให้เปิดออกเพื่อให้ฉันเข้าไป

การเข้าถึงอำนาจแบบไม่ถูกต้อง หรือด้วยวิธีที่บิดเบือน สุดท้ายก็ย้อนกลับมาทำลายตัวเอง

Shattered windows and the sound of drums
 หน้าต่างแตกกระจาย เสียงกลองดังก้อง

People couldn’t believe what I’d become
 ผู้คนไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือตัวฉัน

Revolutionaries wait
 นักปฏิวัติกำลังรออยู่

For my head on a silver plate
 รอให้ฉันถูกตัดศีรษะแล้ววางไว้บนถาดเงิน

อดีตผู้นำที่เคยยิ่งใหญ่ กำลังกลายเป็นศัตรูของประชาชน ถูกขับไล่ ถูกปฏิวัติ ผู้คนไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองเคยเชิดชูนั้นพังลงได้ขนาดนี้ — และตอนนี้ “พวกเขากำลังรอฉันถูกประหาร”

Just a puppet on a lonely string
ก็แค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งบนเส้นด้ายที่เดียวดาย

Oh, who would ever wanna be king?
ใครกันเล่าที่จะยังอยากเป็นกษัตริย์?

ในตอนแรกของเพลง เขาพูดถึงความยิ่งใหญ่ของการเป็นผู้นำ เป็นกษัตริย์ มีอำนาจเหนือใคร แต่พอเวลาผ่านไป เขาต้องตกต่ำ สูญเสียทุกอย่าง จนมาถึงท่อนนี้—ที่สะท้อนว่า อำนาจอาจไม่ได้มีอิสระจริงๆ เลยด้วยซ้ำ กลับเป็นเพียงหุ่นเชิดของบางสิ่ง (อาจหมายถึงระบบ ศรัทธา ประชาชน หรือแม้แต่กรรมของตัวเอง)

I used to rule the world
ฉันเคยปกครองโลกใบนี้

Seas would rise when I gave the word
ทะเลยังลุกขึ้นตามคำสั่งของฉัน

Now in the morning I sleep alone
ตอนนี้ทุกเช้าฉันตื่นขึ้นมาเพียงลำพัง

Sweep the streets I used to own
กวาดถนนที่เคยเป็นของฉันเอง

นี่คือการเปรียบเปรยถึง คนที่เคยมีอำนาจ มีบารมี หรือเป็นผู้นำ แต่ตอนนี้กลับตกต่ำ สูญเสียทุกอย่าง เหลือเพียงตัวคนเดียว

I hear Jerusalem bells are ringing
ฉันได้ยินระฆังของเยรูซาเล็มดังก้อง

Roman cavalry choirs are singing
และเสียงคณะนักร้องแห่งทหารม้าโรมัน

Be my mirror, my sword and shield
จงเป็นกระจก ดาบ และโล่ให้ฉัน

My missionaries in a foreign field
เหล่ามิชชันนารีในแดนไกลของฉัน

มีการใช้ภาพของศาสนาและสงคราม เป็นการเปรียบเปรยถึงการต่อสู้ภายในจิตใจ ความศรัทธา หรือช่วงเวลาที่เขาเคยใช้ศรัทธาเพื่อควบคุมคนอื่น

For some reason I can’t explain
ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ฉันก็อธิบายไม่ได้

I know Saint Peter won’t call my name
ฉันรู้ว่าเซนต์ปีเตอร์จะไม่เอ่ยนามของฉัน

ในความเชื่อของคริสต์ศาสนา เซนต์ปีเตอร์เป็นผู้เฝ้าประตูสวรรค์ เป็นคนที่ “เรียกชื่อ” วิญญาณของผู้มีคุณธรรมเพื่อให้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ นี่คือ การสำนึกผิด หรือ ความรู้สึกผิดบาป ของคนที่เคยมีอำนาจ เคยทำสิ่งไม่ดีไว้ และแม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไรแน่ๆ (“for some reason I can’t explain”) แต่เขาก็แน่ใจว่า… “ฉันไม่มีทางได้รับการอภัย”

Never an honest word
ไม่เคยพูดคำที่สัตย์จริงเลย

But that was when I ruled the world
แต่นั่นก็ตอนที่ฉันยังปกครองโลกอยู่

เพลงนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ทางศาสนาและภาพประวัติศาสตร์ เช่น Saint Peter, ระฆังเยรูซาเล็ม, ทหารโรมัน ซึ่งชี้ไปที่ความขัดแย้งระหว่างอำนาจ โลก และศรัทธา

ในบริบทของซีรีส์ Pachinko ซึ่งพูดถึงคนที่ถูกระบบใหญ่กดทับและไม่อาจมีเสียงเป็นของตนเอง เพลงนี้กลายเป็นเสียงกระซิบของผู้คนที่ไม่เคยถูกจำ

การตีความของ Rosé ทำให้เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงแห่งความเศร้าในเชิงอำนาจ แต่กลายเป็นเพลงแห่งความเป็นมนุษย์ ความเปราะบาง และความหวังเงียบๆ ว่าจะยังมีใครสักคน “เอ่ยนามเรา” อีกครั้งหนึ่ง

หากคุณเคยฟังเพลงนี้ในเวอร์ชันของ Coldplay แล้วรู้สึกยิ่งใหญ่ ลองกลับไปฟังเวอร์ชัน Rosé ใน Pachinko แล้วคุณอาจพบว่า… เสียงที่แผ่วเบา บางครั้งก็สั่นสะเทือนหัวใจได้ลึกยิ่งกว่า