หลักการทำงาน

• • Oligio: ใช้คลื่น Radio Frequency (RF) หรือคลื่นวิทยุส่งความร้อนลงสู่ผิวชั้นหนังแท้และไขมันบางส่วน เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวเต่งตึงและลดริ้วรอย
  • Ultraformer: ใช้คลื่น High-Intensity Focused Ultrasound (HIFU) หรืออัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า

สรุป: Oligio ทำงานที่ระดับผิวหนังแท้ ส่วน Ultraformer ลงลึกถึงชั้น SMAS ทำให้ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน

ผลลัพธ์ที่ได้

• • Oligio: ผิวอิ่มฟู เรียบเนียน ริ้วรอยลดลง ผิวเด้งกระชับทันทีหลังทำ
  • Ultraformer: หน้ายกกระชับ กรอบหน้าชัด ลดเหนียงและไขมันใต้คาง

สรุป: Oligio เหมาะกับคนที่ต้องการให้ผิวดูเฟิร์มขึ้น ส่วน Ultraformer เหมาะกับคนที่ต้องการยกกระชับใบหน้าให้เห็นผลชัดขึ้น

ความรู้สึกขณะทำ

• • Oligio: รู้สึกอุ่นๆ สบายผิว ไม่เจ็บ
  • Ultraformer: อาจรู้สึกจี๊ดๆ หรือเจ็บเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณที่ไขมันน้อย

สรุป: Oligio เจ็บน้อยกว่า Ultraformer เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความรู้สึกเจ็บ

ระยะเวลาเห็นผลและความคงทน

• • Oligio: เห็นผลทันทีประมาณ 20-30% หลังทำ และชัดเจนขึ้นใน 1 เดือน อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
  • Ultraformer: เห็นผลค่อยๆ ดีขึ้นใน 1-2 เดือน และอยู่ได้นาน 6-18 เดือน

สรุป: Ultraformer ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานกว่า แต่ต้องใช้เวลารอผล

เหมาะกับใคร?

• • Oligio: เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย-ปานกลาง ต้องการให้ผิวดูเฟิร์ม เด้งฟู
  • Ultraformer: เหมาะกับคนที่ต้องการยกกระชับใบหน้าให้เห็นผลชัดขึ้น ลดเหนียง และไขมันใต้คาง

สรุป: Oligio เหมาะกับคนที่ต้องการดูแลผิวให้เนียนกระชับ ส่วน Ultraformer เหมาะกับคนที่ต้องการดึงหน้าโดยไม่ผ่าตัด

ราคา

• • Oligio: ราคาประมาณ 10,000 – 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อต
  • Ultraformer: ราคาประมาณ 10,000 – 50,000 บาท ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ

สรุป: Ultraformer มักมีราคาสูงกว่า Oligio เพราะลงลึกกว่า