จากที่มีการแชร์ข้อมูลบนโลกอินเตอร์เน็ตอย่างแพร่หลายว่า การดื่มน้ำจากขวดพลาสติก BPA อาจเสี่ยงทำให้เกิดโรคเบาหวาน ทำให้หลายคนกังวลและไม่มั่นใจในการดื่มน้ำจากขวดพลาสติก วันนี้ ThaiSeoLink จะมาไขข้อสงสัยนี้ให้ชัดเจน เพราะการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกเป็นกิจวัตรประจำวันของหลายๆ คน บทความนี้จะอธิบายถึงสาร BPA (Bisphenol A) ที่พบในขวดพลาสติกบางชนิด ผลกระทบต่อสุขภาพ และงานวิจัยจาก California Polytechnic State University ที่เผยถึงความเสี่ยงของ BPA ต่อโรคเบาหวาน รวมถึงวิธีการเลือกใช้ขวดพลาสติกที่ปลอดภัย
BPA คืออะไร ?
BPA คือ สารเคมีที่ใช้ในการผลิตพลาสติกบางชนิด เช่น โพลีคาร์บอเนต และเรซินอีพ็อกซี่ สารนี้ช่วยให้พลาสติกมีความแข็งแรง ทนทาน และโปร่งใส จึงมักพบในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ขวดน้ำพลาสติก ขวดนมเด็ก และบรรจุภัณฑ์อาหาร อย่างไรก็ตาม การได้รับ BPA ในปริมาณมากสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ โดย BPA สามารถหลุดออกจากพลาสติกที่เสื่อมสภาพหรือเมื่อพลาสติกถูกความร้อนสูง
5 ข้อที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับ BPA
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ BPA (Bisphenol A) เป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกอย่างถูกต้อง แต่ยังมีความเข้าใจผิดหลายอย่างที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความกังวลโดยไม่จำเป็น
1. ทุกขวดพลาสติกมี BPA
ความเข้าใจผิด: ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าขวดพลาสติกทุกชนิดมี BPA ซึ่งไม่เป็นความจริง
ความจริง: ขวดพลาสติกที่ทำจาก PET (Polyethylene Terephthalate) และ HDPE (High-Density Polyethylene) ไม่มีกลุ่มสาร BPA และปลอดภัยสำหรับการบรรจุอาหารและน้ำดื่ม
2. BPA อยู่ในผลิตภัณฑ์พลาสติกทุกชนิด
ความเข้าใจผิด: ทุกผลิตภัณฑ์พลาสติกมี BPA
ความจริง: BPA พบในพลาสติกบางชนิด เช่น โพลีคาร์บอเนต และเรซินอีพ็อกซี่เท่านั้น พลาสติกประเภทอื่นๆ เช่น PET, HDPE, LDPE (Low-Density Polyethylene), และ PP (Polypropylene) ปลอดสาร BPA
3. BPA เป็นอันตรายทุกกรณี
ความเข้าใจผิด: การสัมผัส BPA ในทุกกรณีจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ความจริง: แม้ว่ามีการศึกษาที่แสดงถึงความเสี่ยงของ BPA ต่อสุขภาพ แต่ยังมีการถกเถียงเกี่ยวกับระดับความเสี่ยงที่เป็นอันตราย การได้รับ BPA ในระดับต่ำมักจะไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ แต่ควรหลีกเลี่ยงการได้รับสารนี้ในปริมาณมาก
4. ขวดน้ำ BPA-Free ไม่ปลอดภัย
ความเข้าใจผิด: ขวดน้ำที่ระบุว่า “BPA-Free” ไม่ปลอดภัย
ความจริง: ขวดน้ำ BPA-Free ถูกออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สาร BPA และถือว่าปลอดภัยสำหรับการใช้งานทั่วไป ขวดน้ำเหล่านี้มักทำจากพลาสติกที่ไม่มีสาร BPA เช่น PET หรือ PP
5. การได้รับ BPA จากขวดพลาสติกเป็นอันตรายสูงสุด
ความเข้าใจผิด: การได้รับ BPA จากขวดพลาสติกเป็นแหล่งที่เป็นอันตรายที่สุด
ความจริง: BPA สามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น กระป๋องอาหาร และกระป๋องเครื่องดื่ม ดังนั้น การหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็สำคัญเช่นกัน
นักวิจัยแคลิฟอร์เนียพูดถึงขวดน้ำพลาสติก BPA อย่างไรบ้าง ?
“Study Reveals Decrease in Bisphenol A Exposure Can Impact Type 2 Diabetes Care” งานวิจัยจาก California Polytechnic State University ได้ศึกษาผลกระทบของการลดการสัมผัสสาร BPA ต่อการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 2 ผลการวิจัยพบว่าการลดสาร BPA สามารถช่วยการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าสาร BPA มีผลกระทบต่อการทำงานของอินซูลินและความไวต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการโรคเบาหวานประเภท 2
โรคเบาหวานประเภท 2 คือ ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถใช้ฮอร์โมนอินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือที่เรียกว่า “ภาวะดื้ออินซูลิน” อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อร่างกายไม่สามารถใช้ฮอร์โมนนี้ได้ดี ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้นและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพต่างๆ
นอกจากนี้ การศึกษาหลายชิ้นได้แสดงให้เห็นว่า BPA สามารถรบกวนการทำงานของระบบฮอร์โมน และมีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine system) ซึ่งเป็นระบบที่ควบคุมการทำงานของฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย การรบกวนนี้อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น โรคเบาหวานประเภท 2 โรคหัวใจ และปัญหาด้านการเจริญพันธุ์
วิธีเลือกใช้ขวดน้ำที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงสาร BPA
ตรวจสอบรหัสรีไซเคิล (Recycling Codes)
- รหัส 1 (PET หรือ PETE): ขวดพลาสติกชนิดนี้ปลอดภัยสำหรับการใช้งานครั้งเดียว มักใช้ในการบรรจุน้ำดื่ม
- รหัส 2 (HDPE): พลาสติกชนิดนี้มีความปลอดภัยสูง มักใช้ในขวดนม ขวดน้ำผลไม้ และบรรจุภัณฑ์อื่นๆ
- รหัส 4 (LDPE): ใช้ในถุงพลาสติกและบรรจุภัณฑ์บางชนิด ปลอดภัยสำหรับการใช้งานทั่วไป
- รหัส 5 (PP): พลาสติกชนิดนี้มักใช้ในขวดน้ำ ขวดนมเด็ก และบรรจุภัณฑ์อาหารต่างๆ ปลอดภัยสำหรับการใช้งาน
หลีกเลี่ยงพลาสติกที่มี รหัส 3 (PVC) และ รหัส 7 (OTHER) เนื่องจากอาจมีสาร BPA หรือสารเคมีอื่นๆ ที่เป็นอันตราย
เลือกขวดที่มีฉลาก “BPA-Free”
ขวดน้ำที่มีฉลาก “BPA-Free” ได้รับการออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สาร BPA ตรวจสอบฉลากบนขวดน้ำเพื่อความมั่นใจ
หลีกเลี่ยงความร้อนสูง
หลีกเลี่ยงการให้ขวดพลาสติกสัมผัสกับความร้อนสูง เช่น การเก็บในรถที่ร้อน การใส่ในไมโครเวฟ หรือเครื่องล้างจาน เพราะอาจทำให้สาร BPA หลุดออกมาได้
ใช้ขวดน้ำซ้ำอย่างระมัดระวัง
หากต้องใช้ขวดน้ำพลาสติกซ้ำ ควรล้างให้สะอาดและตรวจสอบสภาพของขวด หากขวดมีรอยขีดข่วนหรือเสื่อมสภาพ ควรเปลี่ยนขวดใหม่
สรุป
การเลือกใช้ขวดน้ำที่ปลอดสาร BPA เป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ ข้อมูลวิจัยจาก California Polytechnic State University ชี้ให้เห็นว่าการลดการสัมผัสสาร BPA สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้นในโรคเบาหวานประเภท 2 และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ดังนั้น งดใช้ขวดน้ำพลาสติก BPA และการดูแลรักษาขวดน้ำอย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณและครอบครัวมีสุขภาพที่ดีขึ้น
แหล่งข้อมูล: American Diabetes Association